ทางเข้า เว็บตรง

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ศูนย์รวมความบันเทิงชั้นนำ

กิงโกะ พืชสมุนไพร บำรุงสมอง ความจำ

กิงโกะ

กิงโกะ เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพร ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในแถบเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และการนำมาใช้ ในทางการแพทย์แผนจีนมากว่าพันปี กิงโกะจึงได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยในปัจจุบัน ถึงคุณประโยชน์ทางด้านสุขภาพที่หลากหลาย

กิงโกะ หรือ Ginkgo Biloba คืออะไร

กิงโกะ

กิงโกะหรือ Ginkgo Biloba เป็นต้นไม้ ที่พบในซากดึกดำบรรพ์มีอายุกว่า 270 ล้านปี พบมากในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ใบของต้นกิงโกะ มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่นช่วยในเรื่องความจำ การไหลเวียนของเลือด บรรเทาหลอดลมอักเสบ ข้ออักเสบ ต้านจุลชีพ

กิงโกะลดความวิตกกังวล เพิ่มความต้องการทางเพศ บรรเทาอาการหูอื้อ และช่วยในการมองเห็น อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยเกี่ยวกับกิงโกะนั้นหลากหลาย ซึ่งบางครั้งอาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น การรับประทานอาหาร [1]

กิงโกะ คุณสมบัติขยายหลอดเลือด

ปัจจัยสำคัญของกิงโกะ นอกจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังสามารถเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ซึ่งแตกต่างจากไนตรัสออกไซด์ (Nitrous Oxide) โดยไนตริกออกไซด์เป็นสารที่ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อในหลอดเลือดผ่อนคลาย และหลอดเลือดขยายตัว

ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และเพิ่มการนำออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ขา ช่วยบรรเทาอาการปวดจากการออกแรง หรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังดีต่อผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือมีปัญหาในการรับออกซิเจน

กิงโกะสามารถรับประทานร่วมกับ โสมเกาหลี จะช่วยเพิ่มพลังงาน และเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง หรือรับประทานร่วมกับ น้ำมันปลา จะช่วยเสริมการทำงานของสมอง และระบบประสาท เนื่องจากน้ำมันปลามีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ส่งผลดีต่อการทำงานของสมอง

กิงโกะ ผลลัพธ์ทดลองทานเป็นเวลา 30 วัน

ผู้ใช้รายหนึ่ง ได้ทดลองทานกิงโกะเป็นเวลา 30 วัน เพื่อดูว่ามีผลอย่างไร ต่อการจัดการกับอาการสมาธิสั้น (ADHD) โดยทานวันละ 150 มิลลิกรัม หลังจากสัปดาห์ที่สองทาน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ใช้สังเกตว่าความสามารถในการโฟกัสมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงบ่าย ที่ต้องการความกระปรี้กระเปร่า เพื่อทำงาน

อีกหนึ่งสิ่งที่สังเกตได้ คือผู้ใช้ไม่เคยปวดหัวเลยตลอด 3 สัปดาห์ โดยปกติ จะมีอาการปวดหัวอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งเชื่อว่า เป็นผลมาจากการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และออกซิเจน ไปยังสมอง ทำให้อาการปวดหัวลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่าจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น ลดการหลงลืม เวลาทำกิจกรรมประจำวัน

ในตอนท้ายของ 30 วัน ผู้ใช้ได้สังเกตว่า อาการปวดหัวลดลง ความสามารถในการจดจำ และการโฟกัสดีขึ้น อีกทั้งยังรู้สึกว่า มีแรงจูงใจในการทำงานเพิ่มขึ้น ในช่วงเช้าและบ่าย กิงโกะไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องการจดจำ และการโฟกัส แต่ยังสามารถช่วยลดอาการปวดหัวได้อีกด้วย [2]

กิงโกะ ลดความวิตกกังวล และภาวะสมองเสื่อม

กิงโกะได้รับการประเมินถึงผลต่อภาวะวิตกกังวล ความเครียด ซึมเศร้า และอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมจากอายุที่มากขึ้น งานวิจัยพบว่า เมื่อใช้ร่วมกับยารักษาโรค สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้ โดยกิงโกะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง

มีงานวิจัยในกลุ่มคน 170 คนที่มีภาวะวิตกกังวล พบว่าผู้ที่ได้รับกิงโกะ 240 มิลลิกรัมหรือ 480 มิลลิกรัม มีการลดลง ของอาการวิตกกังวล มากกว่า 45% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก แม้ว่าผลลัพธ์จะน่าสนใจ แต่ยังคงต้องการหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อยืนยันผลนี้ [3]

กิงโกะ การแพทย์แผนจีน เพิ่มการไหลเวียนเลือด

ในทางการแพทย์แผนจีน กิงโกะถูกใช้เพื่อเปิดเส้นทางพลังงานในระบบอวัยวะต่างๆ เช่น ไต ตับ สมอง และปอด โดยมีความสามารถในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ผลวิจัยพบว่าการทานกิงโกะ สามารถช่วยเพิ่มระดับไนตริกออกไซด์ ซึ่งทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจผลของกิงโกะ ต่อการไหลเวียนของเลือดอย่างชัดเจน

กิงโกะ รักษาอาการปวดหัว ลดไมเกรน

ในทางการแพทย์แผนจีน กิงโกะถูกใช้เพื่อรักษาอาการปวดหัว การวิจัยระบุว่ากิงโกะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ หากอาการปวดหัวหรือไมเกรน เกิดจากความเครียดหรือการไหลเวียนของเลือดไม่ดี กิงโกะอาจช่วยได้ อย่างไรก็ตาม ต้องทดลองด้วยตนเอง ว่าได้ผลหรือไม่

สรุป กิงโกะ สมุนไพรช่วยการทำงานของสมอง

กิงโกะเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์หลายด้าน ตั้งแต่การเสริมความจำ การไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการปวด ไปจนถึงการบรรเทาอาการต่างๆ เช่นหูอื้อ วิตกกังวล และปัญหาทางสายตา กิงโกะเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานของสมอง

อ้างอิง

[1] youtube. (October 13, 2019). Dr. Eric Berg DC. Retrieved from youtube1

[2] youtube. (February 13, 2023). Dr. LeGrand. Retrieved from youtube2

[3] youtube. (September 27, 2018). Healthline. Retrieved from youtube3