ทางเข้า เว็บตรง
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ศูนย์รวมความบันเทิงชั้นนำ
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ศูนย์รวมความบันเทิงชั้นนำ
นกอัลก์ขนาดใหญ่ สูญพันธุ์ ช่วงเวลาใด? บันทึกการมีอยู่และการหายไปของนกอัลก์ ที่เป็นนกชนิดบินไม่ได้ รูปร่างและสีขนคล้ายกับเพนกวิน จนทำให้หลายคนเข้าใจผิด พวกมันแตกต่างจากเพนกวินอย่างไร แหล่งอาศัยอยู่ที่ไหน และสูญพันธุ์ด้วยสาเหตุใดบ้าง
นกอัลก์ขนาดใหญ่ (Great Auk) หรือเรียกว่า นกอัลซิด สายพันธุ์ของนกอัลซิดบินไม่ได้ จัดอยู่ในวงศ์ Alcidae โดยปรากฏตัวครั้งแรกประมาณ 400,000 ปีก่อน และอยู่ใน รายชื่อ นกที่สูญพันธุ์ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวในปัจจุบันที่อยู่ในสกุล Pinguinus แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเพนกวินทางซีกโลกใต้แต่อย่างใด [1]
นกอัลก์มีรูปร่างที่คล้ายกับนกเพนกวิน โดยมีความสูงประมาณ 75 – 85 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม จึงเป็นอัลซิดที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 รองจากอัลซิดยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Miomancalla) พวกมันมีหลังสีดำ ส่วนท้องสีขาว จะงอยปากขนาดใหญ่สีดำ และเท้าเป็นพังผืดสีดำ ที่มีขนาดสั้นและแข็งแรง
ลวดลายของนกอัลก์ ในช่วงฤดูร้อนขนจะมีจุดสีขาวอยู่เหนือดวงตา แต่หากเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว จุดเหล่านั้นจะหายไป และพัฒนาเป็นแถบสีขาวแทน ส่วนปีกจะมีความยาวเพียง 15 เซนติเมตร จึงไม่สามารถบินได้ และเดินแบบเงอะงะอยู่บนบก แต่มันเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งกาจ และมีพลังคล่องแคล่ว ในการล่าเหยื่อในน้ำ
แหล่งที่อยู่ของนกอัลก์ขนาดใหญ่ ส่วนมากอยู่ในทะเลของ มหาสมุทรแอตแลนติก ตอนเหนือ และทำรังบนโขดหินหรือเกาะหิน พวกมันเป็นนกสังคม หาอาหารเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สื่อสารกันโดยแสดงพฤติกรรมทางร่างกาย อย่างเช่น การส่ายหัว การก้มหัว และการอ้าปากค้าง มักส่งเสียงร้องต่ำ ๆ และกรีดร้องแบบแหบแห้ง
อาหารและโภชนาการ นกอัลก์จะเลือกกินปลาขนาดใหญ่ หรือปลาชนิดพิเศษ ที่ว่ายอยู่บริเวณน้ำตื้น โดยปลาจะมีความยาวประมาณ 12 – 20 เซนติเมตร และน้ำหนักประมาณ 40 – 50 กรัม และต้องเป็นปลาที่มีปริมาณของไขมันสูง ส่วนลูกนกอัลก์อาจกินปลาขนาดเล็ก หรือพวกแพลงก์ตอน [2]
นกที่เคยมีชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์ในอดีต แต่ปัจจุบันกลายเป็นตัวอย่างจัดแสดง ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ว่ากันว่าเมื่อชาวเรือพบนกอัลก์ครั้งแรก พวกมันมีรูปร่างที่ผอมแห้ง สัดส่วนแปลกประหลาด มีจะงอยปากที่ใหญ่มาก และมีปีกที่ดูเกะกะ ครั้งหนึ่งพวกมันถูกเรียกว่า “เพนกวินต้นแบบ” อีกด้วย
นกอัลก์ขนาดใหญ่สูญพันธุ์ เนื่องจากตามธรรมชาติ เป็นนกที่มีประชากรน้อยอยู่แล้ว เพราะวางไข่เพียง 1 ฟอง / ครั้ง ทั้งยังถูกล่าจากนกนักล่าเหยื่อ และในช่วงศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปเข้ามาอยู่อาศัยทางตอนเหนือเป็นจำนวนมาก โดยล่านกอัลก์เพื่อเอาเนื้อ ไข่ และขน จึงทำให้นกอัลก์มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง
การพบเห็นนกอัลก์ครั้งสุดท้าย พบว่าพวกมันอยู่กันเป็นอาณานิคม บริเวณนอกชายฝั่งทะเลไอซ์แลนด์ และสูญหายไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งไม่ได้รับการพิสูจน์แต่อย่างใด ทั้งยังไม่เคยมีใครพบเห็นนกอัลก์ขนาดใหญ่ ปรากฏตัวอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา [3]
นกอัลก์ขนาดใหญ่เป็นนกอัลซิดที่สูญพันธุ์แล้ว ตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยมีรูปร่างและสีขนคล้ายกับเพนกวิน แต่มีญาติใกล้ชิดกับนกเรเซอร์บิลมากกว่า เคยอาศัยอยู่ในเขตมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ปัจจุบันพบซากฟอสซิลได้ไกลถึงตอนใต้ เพราะการถูกล่าและการค้าขายของชาวยุโรป
ความแตกต่างของนกอัลก์และเพนกวิน นกอัลก์เป็นนกอัลซิด ที่เหลืออยู่เพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้น พบมากในเขตซีกโลกเหนือ ส่วนเพนกวินมีทั้งหมด 18 สายพันธุ์ พบเฉพาะในเขตซีกโลกใต้ สำหรับความสับสนที่อาจทำให้เข้าใจผิด เพราะพวกมันเป็นนกที่บินไม่ได้ มีหลังสีดำ และท้องสีขาวเช่นกัน
ฟอสซิลของนกอัลก์ ถูกค้นพบไกลออกไปทางตอนใต้จนถึงฟลอริดา เป็นไปได้อย่างไร? ตามปกติพวกมันสามารถปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิหนาวเย็นจัด ของซีกโลกเหนือตอนบนได้ดี ด้วยคลื่นความเย็นช่วงสั้น ๆ ทำให้นกอัลก์ขยายพื้นที่ในการสืบพันธุ์ ไปทางตอนใต้แบบชั่วคราว แต่ค้นพบกระดูกนกอัลก์อยู่ในฟลอริดา เพราะการค้าโบราณวัตถุ ของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน
[1] wikipedia. (January 27, 2025). GreatAuk. Retrieved from wikipedia
[2] animalia. (2025). GreatAuk. Retrieved from animalia.bio
[3] thoughtco. (February 28, 2019). 10 Facts About the GreatAuk. Retrieved from thoughtco
LONPAO Official © 2023 All Rights Reserved.